ในยุคดิจิทัล ปัจจุบันการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานจากที่บ้านหรือที่ออฟฟิศ การจ้องหน้าจอเป็นเวลานานสามารถนำไปสู่ปัญหาสายตาหลายประการ อาการเมื่อยล้าตา (Digital Eye Strain) เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย ซึ่งรวมถึงอาการปวดตา ตาแห้ง มองเห็นไม่ชัด และอาการปวดหัว การดูแลและบำรุงสายตาจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรักษาสุขภาพตาให้อยู่ในสภาพดี
ปัญหาสายตาจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น แสงสว่างที่ไม่เหมาะสม ระยะห่างระหว่างหน้าจอกับสายตา และการไม่พักสายตาอย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันและลดปัญหาเหล่านี้ การปรับสภาพแวดล้อมในการทำงานเป็นสิ่งที่ควรทำ เริ่มจากการจัดแสงสว่างให้เหมาะสม ไม่ให้มีแสงจ้าส่องตรงเข้าตา และการตั้งค่าความสว่างและคอนทราสต์ของหน้าจอให้สบายตา
การพักสายตาเป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพ เทคนิคการพักสายตาเช่น กฎ 20-20-20 ที่แนะนำให้มองออกไปไกลทุกๆ 20 นาทีเป็นเวลา 20 วินาที นอกจากนี้ การกระพริบตาอย่างสม่ำเสมอและการนวดตาเบา ๆ ก็สามารถช่วยลดความเมื่อยล้าตาได้ การใช้แว่นตาหรือเลนส์ที่เหมาะสม เช่น เลนส์ที่มีฟังก์ชั่นป้องกันแสงสีฟ้า ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยลดผลกระทบจากการจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน
นอกจากการปรับสภาพแวดล้อมและการพักสายตาแล้ว อาหารและสารอาหารที่ช่วยบำรุงสายตาก็มีความสำคัญ ผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอ เช่น แครอท และอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 เช่น ปลา สามารถช่วยรักษาสุขภาพตาได้ การออกกำลังกายสายตา เช่น การมองไปทางไกลและใกล้ การหมุนตาเป็นวงกลม ก็เป็นวิธีที่ช่วยฝึกกล้ามเนื้อตาและลดความเมื่อยล้าได้
การตรวจสายตาเป็นประจำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อให้สามารถติดตามสุขภาพตาและปรับการดูแลรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ได้อย่างเหมาะสม
ปัญหาสายตา สำหรับคนที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์
การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้สำหรับคนทำงานในยุคดิจิทัล อย่างไรก็ตาม การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจนำไปสู่ปัญหาสายตาหลายประการ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพและประสิทธิภาพในการทำงานได้ โดยปัญหาสายตาที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ได้แก่
อาการเมื่อยล้าตา (Digital Eye Strain)
หนึ่งในปัญหาที่พบบ่อยที่สุดคืออาการเมื่อยล้าตา ซึ่งเกิดจากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ตเป็นเวลานาน อาการนี้รวมถึงความรู้สึกเหนื่อยล้าตา การมองเห็นไม่ชัด และการตาล้า อาการเมื่อยล้าตายังสามารถทำให้รู้สึกปวดศีรษะ และปวดตาได้
ตาแห้ง
การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์มักทำให้เรากระพริบตาน้อยลง ซึ่งส่งผลให้ตาแห้ง น้ำตาที่ผลิตออกมาไม่เพียงพอที่จะให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตา อาการตาแห้งอาจทำให้รู้สึกเคืองตา แสบตา และตาแดง
อาการปวดหัวและปวดตา
การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น การตั้งค่าความสว่างของหน้าจอที่สูงเกินไปหรือแสงสว่างในห้องไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวและปวดตา การจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน ๆ ยังทำให้กล้ามเนื้อตาต้องทำงานหนักมากขึ้น
การมองเห็นไม่ชัด
การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจทำให้การมองเห็นไม่ชัด โดยเฉพาะเมื่อมองไปยังสิ่งที่อยู่ในระยะไกล ปัญหานี้สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อกล้ามเนื้อตาทำงานหนักเกินไป และต้องการการพักผ่อน
การรับมือกับปัญหาสายตาจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ต้องเริ่มต้นจากการปรับสภาพแวดล้อมในการทำงาน การตั้งค่าความสว่างและคอนทราสต์ของหน้าจอให้เหมาะสม การจัดแสงสว่างในห้องให้เพียงพอ และการรักษาระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างหน้าจอและสายตา นอกจากนี้ การใช้เทคนิคการพักสายตา เช่น กฎ 20-20-20 คือการพักสายตาทุกๆ 20 นาที มองไปที่สิ่งที่อยู่ไกลอย่างน้อย 20 ฟุตเป็นเวลา 20 วินาที ก็เป็นวิธีที่ช่วยลดอาการเมื่อยล้าตาได้
การใช้แว่นตาหรือเลนส์ที่มีคุณภาพและเหมาะสมก็เป็นวิธีที่ช่วยป้องกันและลดปัญหาสายตาจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ได้ โดยเฉพาะเลนส์ที่มีฟังก์ชั่นป้องกันแสงสีฟ้า ซึ่งช่วยลดแสงสีฟ้าที่มีผลกระทบต่อสายตา
การดูแลและบำรุงสายตาอย่างเหมาะสมจะช่วยให้คุณสามารถทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรักษาสุขภาพตาให้ดีอยู่เสมอ
วิธีการบำรุงสายตา
การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจทำให้สายตาเมื่อยล้าและเกิดปัญหาสุขภาพตาได้ การบำรุงและดูแลสายตาเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม นี่คือวิธีการบำรุงสายตาที่สามารถช่วยลดอาการเมื่อยล้าและรักษาสุขภาพตาของคุณให้อยู่ในสภาพดี
ปรับสภาพแวดล้อมในการทำงาน
การปรับสภาพแวดล้อมในการทำงานเป็นสิ่งแรกที่ควรทำ เริ่มจากการจัดแสงสว่างในห้องให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงแสงสว่างที่จ้ามากเกินไปหรือแสงสะท้อนที่เข้าสู่ตาโดยตรง นอกจากนี้ ควรปรับระยะห่างระหว่างหน้าจอและสายตาให้เหมาะสม โดยระยะห่างที่เหมาะสมคือประมาณ 20-24 นิ้ว การตั้งค่าความสว่างและคอนทราสต์ของหน้าจอให้สบายตาก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำ
การใช้เทคนิคการพักสายตา
การพักสายตาเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สายตาได้พักผ่อน เทคนิคการพักสายตาที่ได้รับการแนะนำคือ กฎ 20-20-20 ซึ่งคือการพักสายตาทุกๆ 20 นาที โดยมองไปที่สิ่งที่อยู่ไกลประมาณ 20 ฟุตเป็นเวลา 20 วินาที นอกจากนี้ การกระพริบตาอย่างสม่ำเสมอและการนวดตาเบาๆ ก็สามารถช่วยลดอาการเมื่อยล้าตาได้
การใช้แว่นตาหรือเลนส์ที่เหมาะสม
การใช้แว่นตาหรือเลนส์ที่มีคุณภาพเป็นอีกวิธีที่ช่วยบำรุงสายตาได้ดี เลนส์ที่มีฟังก์ชั่นป้องกันแสงสีฟ้าจะช่วยลดแสงสีฟ้าที่มาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์และช่วยป้องกันการเกิดอาการเมื่อยล้าตาได้ นอกจากนี้ การเลือกใช้เลนส์ที่มีความเหมาะสมกับสายตาของตนเองก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
อาหารและสารอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสายตาก็เป็นสิ่งสำคัญ ผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอ เช่น แครอท และผักใบเขียวสามารถช่วยบำรุงสายตาได้ดี นอกจากนี้ อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 เช่น ปลา และอาหารที่มีวิตามินซีและอี เช่น ส้มและอัลมอนด์ ก็เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพตา
การออกกำลังกายสายตา
การฝึกกล้ามเนื้อตาด้วยการออกกำลังกายสายตาเป็นวิธีที่ช่วยลดความเมื่อยล้าและรักษาสุขภาพตาได้ การมองไปทางไกลและใกล้เป็นระยะ ๆ การหมุนตาเป็นวงกลม และการเปลี่ยนจุดโฟกัสจากใกล้ไปไกลสามารถช่วยฝึกกล้ามเนื้อตาและลดอาการเมื่อยล้าตาได้
อาหารและสารอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา
การบำรุงสายตาไม่เพียงแต่ต้องดูแลจากภายนอกเท่านั้น แต่ยังสามารถทำได้โดยการเลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ อาหารบางชนิดมีสารอาหารที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพตาและลดความเสี่ยงต่อปัญหาสายตา การเลือกกินอาหารที่มีสารอาหารที่เหมาะสมจะช่วยให้สายตาของคุณคงสภาพดีและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอ
วิตามินเอเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อการบำรุงสายตา ผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอสูง เช่น แครอท ฟักทอง ผักบุ้ง และมะละกอ เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินเอ วิตามินเอนี้ช่วยในการมองเห็นในที่มืด และช่วยป้องกันโรคตาบอดตอนกลางคืน
อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3
กรดไขมันโอเมก้า 3 มีประโยชน์ต่อการลดการอักเสบในร่างกายและช่วยบำรุงสุขภาพตา ปลา เช่น แซลมอน แมคเคอเรล และทูน่า เป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ดี การบริโภคปลาเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมและช่วยให้ดวงตาชุ่มชื้น
แร่ธาตุและวิตามินที่สำคัญต่อสายตา
วิตามินซีและอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ตาจากการถูกทำลาย วิตามินซีพบมากในผลไม้เช่น ส้ม สตรอว์เบอร์รี่ และกีวี่ ส่วนวิตามินอีพบมากในอัลมอนด์ และเมล็ดทานตะวัน นอกจากนี้ สังกะสีเป็นแร่ธาตุที่สำคัญที่ช่วยปกป้องดวงตาจากการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมและสามารถพบได้ในเนื้อสัตว์ ธัญพืช และนม
อาหารที่มีลูทีนและซีแซนทีน
ลูทีนและซีแซนทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องดวงตาจากแสงสีน้ำเงินและลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม ผักใบเขียวเช่น ผักโขม คะน้า และบรอกโคลี เป็นแหล่งของลูทีนและซีแซนทีนที่ดี การบริโภคผักเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับดวงตา
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสารอาหารที่ช่วยบำรุงสายตาเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้มีสารอาหารที่จำเป็นต่อสายตาจะช่วยให้ดวงตาของคุณมีสุขภาพดีและลดความเสี่ยงต่อปัญหาสายตาที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
การออกกำลังกายสายตา
การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานสามารถทำให้สายตาเมื่อยล้าและเกิดปัญหาสายตาได้ การออกกำลังกายสายตาเป็นวิธีที่ดีในการลดความเมื่อยล้าและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับดวงตา นี่คือวิธีการออกกำลังกายสายตาที่คุณสามารถทำได้ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน
การฝึกกล้ามเนื้อตา
การฝึกกล้ามเนื้อตาเป็นวิธีที่ดีในการเสริมสร้างความแข็งแรงและลดความเมื่อยล้าตา หนึ่งในวิธีการที่สามารถทำได้คือการมองไปทางไกลและใกล้เป็นระยะ ๆ โดยเริ่มจากการมองไปที่วัตถุที่อยู่ไกลออกไปเป็นเวลา 10-15 วินาที จากนั้นเปลี่ยนมามองที่วัตถุที่อยู่ใกล้เป็นเวลา 10-15 วินาที ทำซ้ำขั้นตอนนี้หลาย ๆ ครั้ง จะช่วยฝึกการโฟกัสของกล้ามเนื้อตา
การหมุนตาเป็นวงกลม
การหมุนตาเป็นวงกลมเป็นอีกวิธีที่ช่วยลดความเมื่อยล้าและเสริมสร้างความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อตา เริ่มจากการมองขึ้นไปทางด้านบนสุด แล้วหมุนตาไปทางซ้าย ล่าง และขวา ทำซ้ำในทิศทางตรงกันข้าม ทำการหมุนตาเป็นวงกลมอย่างช้า ๆ และทำซ้ำ 5-10 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตาและลดความตึงเครียด
การมองไปที่ปลายจมูก
การฝึกการมองไปที่ปลายจมูกเป็นวิธีที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อตา เริ่มจากการมองไปที่ปลายจมูกเป็นเวลา 5-10 วินาที แล้วมองไปที่วัตถุที่อยู่ไกล ทำซ้ำขั้นตอนนี้หลาย ๆ ครั้ง จะช่วยให้กล้ามเนื้อตาทำงานได้ดีขึ้น
การใช้เทคนิคการพักสายตา
เทคนิคการพักสายตา เช่น กฎ 20-20-20 เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดความเมื่อยล้าตา กฎนี้แนะนำให้พักสายตาทุก ๆ 20 นาที โดยมองไปที่วัตถุที่อยู่ไกลประมาณ 20 ฟุตเป็นเวลา 20 วินาที วิธีนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อตาได้พักผ่อนและลดความตึงเครียด
การนวดตาเบา ๆ
การนวดตาเบา ๆ เป็นวิธีที่ช่วยลดความเมื่อยล้าและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในดวงตา ใช้นิ้วมือที่สะอาดนวดเบา ๆ บริเวณรอบ ๆ ดวงตาเป็นวงกลม ทำอย่างเบา ๆ และไม่กดแรงเกินไป วิธีนี้จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและลดอาการเมื่อยล้าตา
การออกกำลังกายสายตาเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน การปฏิบัติตามวิธีการเหล่านี้จะช่วยให้สายตาของคุณมีสุขภาพดี ลดอาการเมื่อยล้า และเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับดวงตาในระยะยาว
การตรวจสายตาเป็นประจำ
การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจทำให้สายตาของเราต้องเผชิญกับความเครียดและความเมื่อยล้าตา การดูแลและบำรุงสายตาให้แข็งแรงจึงเป็นสิ่งสำคัญ หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาสุขภาพตาคือการตรวจสายตาเป็นประจำ การตรวจสายตาไม่เพียงแต่ช่วยในการวินิจฉัยปัญหาสายตาที่อาจเกิดขึ้นได้แต่ยังช่วยในการป้องกันและรักษาสุขภาพตาให้อยู่ในสภาพดี
ความสำคัญของการตรวจสายตาเป็นประจำ
การตรวจสายตาเป็นประจำช่วยให้เราทราบถึงสภาพสายตาและสามารถวินิจฉัยปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ในระยะเริ่มต้น เช่น โรคต้อหิน ต้อกระจก หรือโรคจอประสาทตาเสื่อม การตรวจพบและรักษาโรคเหล่านี้ตั้งแต่ระยะแรกสามารถช่วยป้องกันการสูญเสียการมองเห็นที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้
การตรวจสายตาเป็นประจำกับผู้เชี่ยวชาญ
การตรวจสายตาควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาหรือจักษุแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการตรวจและวินิจฉัยปัญหาสายตา การตรวจสายตาไม่เพียงแต่ตรวจสอบการมองเห็นทั่วไป แต่ยังรวมถึงการตรวจสุขภาพตาแบบละเอียด เช่น การตรวจความดันในตา การตรวจความสมบูรณ์ของจอประสาทตา และการตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อตา
ความถี่ในการตรวจสายตา
สำหรับผู้ที่ไม่มีปัญหาสายตา ควรตรวจสายตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แต่หากมีปัญหาสายตาหรือมีความเสี่ยงต่อโรคสายตา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดความถี่ในการตรวจที่เหมาะสม สำหรับคนที่มีอายุมากขึ้นหรือมีประวัติครอบครัวเกี่ยวกับโรคสายตา ควรตรวจสายตาบ่อยขึ้นเพื่อตรวจหาและป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้น
การติดตามผลการตรวจสายตา
หลังจากการตรวจสายตา ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากแพทย์แนะนำให้สวมแว่นตาหรือเลนส์ที่มีคุณภาพ ควรปฏิบัติตามเพื่อรักษาสุขภาพตาให้อยู่ในสภาพดี นอกจากนี้ ควรติดตามผลการตรวจและนัดหมายการตรวจครั้งถัดไปตามที่แพทย์แนะนำ เพื่อให้สามารถตรวจสอบและติดตามสุขภาพตาได้อย่างต่อเนื่อง
การตรวจสายตาเป็นประจำเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาสุขภาพตาและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น การดูแลและบำรุงสายตาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณสามารถทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรักษาสุขภาพตาให้ดีอยู่เสมอ
บทสรุปและคำแนะนำสุดท้าย
ในยุคดิจิทัลที่การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์กลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การดูแลและบำรุงสายตาจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ปัญหาสายตาจากการจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน ๆ สามารถลดประสิทธิภาพในการทำงานและส่งผลกระทบต่อสุขภาพตาในระยะยาวได้ การนำวิธีการดูแลและบำรุงสายตามาใช้ในชีวิตประจำวันจะช่วยป้องกันและลดอาการเมื่อยล้าตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การปรับสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เหมาะสม เช่น การจัดแสงสว่างในห้องให้เพียงพอและไม่มีแสงสะท้อนเข้าตา การตั้งค่าความสว่างและคอนทราสต์ของหน้าจอให้อยู่ในระดับที่สบายตา รวมถึงการรักษาระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างหน้าจอและสายตา จะช่วยลดความตึงเครียดและอาการเมื่อยล้าตาได้
การพักสายตาเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย เทคนิคการพักสายตาเช่น กฎ 20-20-20 คือการพักสายตาทุกๆ 20 นาที โดยมองไปที่สิ่งที่อยู่ไกลประมาณ 20 ฟุตเป็นเวลา 20 วินาที จะช่วยให้กล้ามเนื้อตาได้พักผ่อนและลดอาการเมื่อยล้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ การกระพริบตาอย่างสม่ำเสมอและการนวดตาเบา ๆ ก็เป็นวิธีที่ดีในการลดความตึงเครียดของสายตา
การใช้แว่นตาหรือเลนส์ที่มีคุณภาพและเหมาะสม เช่น เลนส์ที่มีฟังก์ชั่นป้องกันแสงสีฟ้า จะช่วยลดแสงสีฟ้าที่มาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์และป้องกันอาการเมื่อยล้าตาได้ การเลือกใช้แว่นตาหรือเลนส์ที่เหมาะสมกับสายตาของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
การบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อสายตา เช่น ผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอ อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 และอาหารที่มีวิตามินซีและอี จะช่วยบำรุงสายตาและลดความเสี่ยงของโรคตาในระยะยาว การออกกำลังกายสายตา เช่น การมองไปทางไกลและใกล้ การหมุนตาเป็นวงกลม จะช่วยฝึกกล้ามเนื้อตาและลดความเมื่อยล้า
สุดท้าย การตรวจสายตาเป็นประจำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง จะช่วยให้สามารถติดตามสุขภาพตาและปรับการดูแลรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ได้อย่างเหมาะสม
การดูแลและบำรุงสายตาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ การปฏิบัติตามวิธีการที่กล่าวมาข้างต้นอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สายตาของคุณมีสุขภาพดีและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว